skip to Main Content

My Super Hero ได้ดีเพราะพ่อสอน

ถ้าถูกถามว่าฮีโร่ของคุณเป็นใคร คงเหมือนกับลูกๆ คนดังเหล่านี้ที่ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “พ่อเป็นฮีโร่ของผม” ไม่ว่าจะเป็น แตงโม-พงษ์พิสุทธิ์ ทายาทอดีตนักฟุตบอลแข้งทอง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, แมพ-วงศธร ลูกไม้ใต้ต้นของดีเจวัยเก๋า หมึก-วิโรจน์ ควันธรรม และเฮียนิก-ณัฐพัชร์ ลูกชายคนเล็กของ เฮียซ้ง เล่งหงษ์  CountUp ชวนฟังเรื่องเล่าของคุณพ่อจากปากคำพวกเขากัน แล้วจะรู้ว่าทำไมหนุ่มๆ เหล่านี้ถึงยกให้พ่อคือฮีโร่ในดวงใจ

ตุ๊ก-แตงโม พ่อลูกสายกีฬา

พ่อลูกแห่งวงการฟุตบอล ตุ๊ก-ปิยะพงษ์ และ แตงโม-พงษ์พิสุทธิ์ ผิวอ่อน คนพ่อเป็นอดีตดาวยิงทีมชาติไทย ส่วนลูกชายก็เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ฮีโร่ด้านกีฬาของคนไทย แต่พ่อตุ๊กยังเป็นฮีโร่และต้นแบบในการใช้ชีวิตของแตงโมด้วย

“ตั้งแต่เด็กคุณพ่อเน้นให้เรียนรู้อยู่ตลอด ตัวผมเองก็เป็นคนชอบเรียนรู้อยู่แล้ว ชอบถามโน่นถามนี่ และอยากจะเลียนแบบพ่อ เพราะผมรู้ว่าตัวเราไม่ได้เก่ง เลยคิดว่าถ้าทำตามคนเก่ง เราอาจจะเก่งขึ้นแบบเขาได้ ซึ่งผมมองว่าไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยที่จะทำตามใครสักคน ดังนั้นผมจึงมีคุณพ่อเป็นต้นแบบให้ทำตาม แต่ก็พยายามปรับให้เป็นไปตามแนวทางของเราเอง เหมือนเอาประสบการณ์ของพ่อมาต่อยอดในวิธีของเรา

ผมยึดเอาคุณพ่อเป็นแบบอย่างแทบจะทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการวางตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบมากในตัวคุณพ่อ เพราะท่านเป็นคนถ่อมตัว ไม่เคยบอกใครว่าตัวเองเก่งหรือดีอย่างไร แต่จะให้เกียรติคนอื่นตลอดเวลา เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อทำนะ แต่พอโตขึ้นก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เลยพยายามทำแบบท่าน

ด้วยความที่เราสนิทกันมาก คุยกันได้ทุกเรื่อง เรื่องไหนดีก็จะชื่นชม แต่หากมีอะไรที่ไม่ดีก็จะคอยบอกกัน คุณพ่อเตือนผม ตัวผมเองก็จะบอกท่านว่าแบบนี้ไม่โอเคนะพ่อ ดูแล้วไม่น่าจะดี เป็นการดูแลกันและกันในแบบของบ้านเรา ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องดีที่เราสามารถคุยกันได้อย่างเปิดใจ ปรึกษากันได้ ผมกับพ่อเลยตั้งใจทำคอนเท้นท์ทางยูทูบ โดยยกเอาเรื่องกีฬามาเป็นตัวนำ แต่จริงๆ แล้วเป็นคอนเท้นท์ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อให้คนที่ชื่นชอบคุณพ่อ คนที่ชื่นชอบผม และคนที่ชอบกีฬา ได้เห็นและเลือกเอาสิ่งที่เราทำไปใช้กับครอบครัวของตัวเอง

ตอนนี้หากขออะไรเพื่อคุณพ่อได้ผมก็อยากจะขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง อยู่กับเราไปนานๆ ส่วนเรื่องอื่นผมว่าพ่อเจ๋งอยู่แล้ว เป็นความเจ๋งในแบบของพ่อที่ผมชื่นชมมาตลอดครับ”

หมึก-แมพ พ่อลูกดีเจสุดเฟี้ยว

จากทายาทดีเจที่ติดตามพ่อ “หมึก-วิโรจน์ ควันธรรม” ไปทำงานอยู่บ่อยๆ “แม๊พ-วงศธร ควันธรรม” ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาจะก้าวตามผู้เป็นพ่อเข้ามาสู่วงการวิทยุ จนกลายมาเป็นคู่หูพ่อลูกแห่งแวดวงดีเจ โดยมีพ่อหมึกเป็นแบบอย่างตั้งแต่การทำงานไปจนถึงแง่มุมเล็กๆ ในชีวิต

 “ตอนเด็กๆ เวลาคุณพ่อไปทำงานมักจะพาผมไปด้วยเสมอ ภาพที่จำได้ตั้งแต่เล็กจึงเป็นภาพคุณพ่อนั่งทำงานอยู่ในห้องจัดรายการ โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเราจะได้มาทำงานเป็นดีเจเหมือนท่าน จนประมาณ 20 ปีที่แล้วก็จับพลัดจับผลูได้จัดรายการเป็นครั้งแรกคู่กับคุณพ่อ ซึ่งทำให้เรากลายมาเป็นดีเจและพิธีกรจนถึงทุกวันนี้

หากจะว่ากันตามตรง พ่อไม่ค่อยได้สอนเกี่ยวกับการจัดรายการเท่าไรนัก แค่บอกให้เก็บรายละเอียด และสังเกตเรื่องราวต่างๆ ที่เจอในแต่ละวัน เพื่อเอามาเป็นหัวข้อในการพูดคุยกับคนฟัง แต่ตัวผมเองจะคอยมองดูการทำงานของพ่อและนำมาเป็นแบบอย่าง ทั้งเรื่องการมีวินัยในตัวเอง เรื่องความละเอียด เพราะพ่อเป็น perfect man เวลาทำงานหรือทำอะไรจะค่อนข้างเป๊ะมาก เราก็ซึมซับตรงนั้นมา รวมถึงเรื่องของการพูดด้วย จนไปๆมาๆ กลายเป็นว่าน้ำเสียงและจังหวะในการพูดของเรามีความคล้ายกับพ่อมาก ถึงกับเคยมีคนถามว่า เสียงเหมือนพี่หมึก วิโรจน์มาก เป็นลูกพี่หมึกหรือเปล่า 

นอกจากเรื่องงาน ผมกับพ่อก็มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ตั้งแต่ผมยังเป็นวัยรุ่นก็ไปทำงานกับพ่อ ไปเที่ยวกลางคืนด้วยกัน ไปเดินช้อปปิ้งสวนจตุจักรด้วยกัน ซึ่งเวลาไปซื้อของพ่อก็จะคอยสอนเรื่องความละเอียดในการเลือกของ บอกว่าเสื้อผ้าจะต้องดูปกเป็นแบบนี้นะ กระดุมต้องเป็นอย่างนี้ คือท่านเป็นคนชอบแต่งตัว ก็จะคอยบอกว่าสไตล์เสื้ออย่างนี้เรียกว่าอะไร จับคู่กับอะไรแล้วดูดี เราก็เลยได้ความรู้เหล่านี้มาจากท่านเยอะ

สิ่งที่ผมชื่นชมในตัวคุณพ่อมากๆ คือการที่ท่านยังเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ยังร่วมสมัยกับคนรุ่นใหม่ได้ ดูได้จากการที่วงดนตรีอินดี้รุ่นใหม่หลายๆ วงบอกว่า ผมคุยกับพ่อพี่มันส์มากเลย คือท่านรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เลยทำให้ยังดูทันสมัย แล้วช่วงนี้คุณพ่อก็กำลังจะทำรายการใน youtube ซึ่งน่าจะเปิดตัวในปีหน้า ผมจึงเข้าไปดูแล คอยซัพพอร์ตเรื่องหลังบ้านให้ นับว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้พ่อยังสามารถคอนเนคกับคนรุ่นใหม่ได้ ซึ่งการที่พ่อไม่ยอมตกรุ่น ไม่ยอมล้าสมัยนี่เองที่ทำให้ผมมองว่าพ่อเหมือนเป็นฮีโร่ที่น่าเอาเป็นแบบอย่างจริงๆ”

เฮียซ้ง-เฮียนิก พ่อลูกเล่งหงษ์

คู่พ่อลูกอารมณ์ดีที่ใครได้เจอก็ต้องหลงเสน่ห์ความน่ารักของเค้าเลย เฮียซ้ง-ณธีพัฒน์ และเฮียนิก-ณัฐพัชร์ อรุณศิริสกุล แห่งภัตตาคารเล่งหงษ์ ที่เห็นหน้าค่าตากันเป็นประจำในรายการ “กินเที่ยว Around The World” เป็นพ่อลูกที่สนิทสนมกลมเกลียวไปไหนไปกันตลอด ซึ่งพอให้เฮียนิกเล่าถึงคุณพ่อ ลูกชายคนเล็กของบ้านเล่งหงษ์บอกว่า พ่อเป็นฮีโร่ในของเขาในทุกด้านจริงๆ

“คุณพ่อเป็นเหมือนไอดอลของผมเลยก็ว่าได้ ท่านสอนผมในหลายๆ อย่าง ทั้งวิธีคิด การใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของการทำงาน ท่านบอกเสมอว่า เราทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาก ต้องเข้าใจว่าผู้บริโภคก็เหมือนเรา ที่อยากกินของดีๆ ในราคาที่จับต้องได้ ฉะนั้นเราต้องให้บริการทุกคนอย่างดีที่สุด ทุกวันนี้ผมก็เข้าไปช่วยที่บ้านดูแลภัตตาคารเล่งหงษ์อย่างเต็มตัว พยายามจะพัฒนาให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เอาระบบต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ทำงานน้อยลงและสนุกกับการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ มากขึ้น

เวลาไปถ่ายรายการ กินเที่ยว Around The World คุณพ่อจะไม่ค่อยวางแผนอะไรเยอะ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นสิ่งที่ท่านชอบและถนัดอยู่แล้ว ยิ่งเวลาไปกินสตรีตฟู้ด ท่านจะเพลิดเพลินมาก บอกเล่าได้เป็นเรื่องเป็นราว ในขณะที่บางทีตัวผมไม่รู้จักอาหารประเภทนั้นเลย การไปถ่ายทำรายการด้วยกันจึงเหมือนท่านสอนให้เรารู้จักสิ่งใหม่ๆ ไปด้วยในตัว คือได้ความรู้ใหม่จากคุณพ่อเพิ่มขึ้นในทุกครั้งที่ไปทำงาน

ถ้าถามว่าคุณพ่อเป็นแบบอย่างให้กับผมด้านไหนบ้าง ผมคิดว่าน่าจะแทบทุกด้านเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นท่านกลับบ้านเกินสองทุ่ม ท่านไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เลยทำให้เราไม่ทำเรื่องพวกนี้ไปด้วย ทั้งๆ ที่คุณพ่อไม่เคยบอกว่าห้ามทำนะ แต่เราเห็นท่านเป็นตัวอย่างที่ดีเลยเลือกที่จะไม่ทำเหมือนกัน

อีกเรื่องที่คุณพ่อทำให้ผมประทับใจในตัวท่านคือความพอเพียง มีอยู่วันหนึ่งท่านเดินมาบอกว่า ป๊าโอเคแล้วนะกับชีวิตนี้ เพราะรู้สึกว่าพอแล้ว มีความสุขกับชีวิตแล้ว ท่านบอกว่ามีเงินแค่สิบล้านก็พอแล้ว ไม่ต้องยุ่งกับท่านแล้ว อยากจะทำอะไรทำเลยตามสบาย แล้วยังบอกอีกว่า ถ้าสมมติว่าลื้อแต่งงาน มีครอบครัว จำไว้นะว่าสิ่งเดียวที่พ่อแม่ทุกคนบนโลกนี้อยากได้ก็คือ การได้เห็นเห็นลูกเลี้ยงดูตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัวได้แบบมีความสุข ไม่กลับมาขอเงินอั๊วแค่นั้นก็โอเคแล้ว เหมือนท่านสอนว่า การจะมีความสุขไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีเงินเยอะขนาดไหน แค่รู้จักใช้เท่าที่เรามี เก็บเท่าที่เราเก็บไหว แค่นั้นก็โอเคแล้ว ซึ่งเป็นคำสอนที่ผมจำได้ขึ้นใจและเก็บไว้เป็นแง่คิดในการใช้ชีวิตจนถึงทุกวันนี้ครับ”

Share this:

Back To Top
×Close search
Search